การชุบเคลือบสังกะสีช่วยปกป้องวัสดุที่เป็นเหล็กจากการกัดกร่อนได้เป็นอย่างดีภายใต้สภาวะแวดล้อมหลากหลายแบบ ขั้นตอนการชุบเคลือบสังกะสีช่วยเพิ่มความคงทนให้วัสดุและป้องกันรอยขีดข่วนได้ สังกะสีจะเคลือบเป็นชั้นๆ มีชั้นสังกะสีโลหะ และชั้นเหล็กผสมสังกะสี ซึ่งเป็นชั้นที่สังกะสีได้หลอมรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกับเหล็ก ทำให้สังกะสีสามารถเคลือบพื้นผิวของเหล็กที่ชุบได้ทั้งหมด
การชุบเคลือสังกะสีส่งผลให้วัสดุมีความเหนียวและคงทนมากขึ้น ลดความเสียหายจากการใช้เครื่องจักร ถูกกัดกร่อนได้ช้าลง ความหนาของสังกะสีเคลือบที่ได้มาตรฐานสามารถเคลือบบนวัสดุทุกส่วน แม้กระทั่งส่วนที่คมและบางที่สุดเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับวัสดุนั้นๆ
ขั้นตอนการชุบเคลือบสังกะสี
การเตรียมพื้นผิวของชิ้นงาน
การเตรียมงาน เป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับการชุบเคลือบสังกะสีให้ได้คุณภาพที่ดี พนักงานผู้มากประสบการณ์ของเราจะทำงานกันอย่างหนักเพื่อที่จะให้มั่นใจได้ว่าการชุบเคลือบสังกะสีจะออกมาดีที่สุด น้ำมัน คราบกาว คราบฝุ่น และสีเคลือบต่างๆจะถูกทำความสะอาดออกจากพื้นผิวอย่างหมดจด
การกำจัดสิ่งสกปรก
ขั้นตอนแรกของการทำความสะอาดคือ การใช้สารละลาย หรือการทำความสะอาดโดยใช้สารละลายด่างร้อนในการล้างสิ่งเจือปนต่างๆออกไป เช่น สิ่งสกปรก คราบจารบี และสิ่งเปรอะเปื้อนอื่นๆที่ติดมาก่อนการทำการชุบเคลือบสังกะสี
การกัดด้วยกรด
สะเก็ดสิ่งสกปรก สนิม คราบสี และสิ่งสกปรกอื่นๆ จะถูกล้างออกด้วยกรด หรือ จะถูกกัดออกด้วยกรดไฮโดรคอลิก แล้วจึงนำวัสดุไปล้างด้วยน้ำอีกที
การแช่น้ำยาประสาน
นำเหล็กที่ได้รับการทำความสะอาดจากกรดแล้ว มาจุ่มในน้ำยาประสาน หรือ สารละลายซิงค์แอมโมเนียมคลอไรด์ เพื่อขจัดออกไซด์ฟิล์มที่จะเกิดขึ้นระหว่างการทำปฎิกิริยาของพื้นผิวเหล็กที่เกิดจากการทำความสะอาดด้วยกรด และเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดปฎิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากการรวมตัวของออกซิเจนกับสารอื่นๆด้วย ในขั้นตอนนี้ เหล็กจะผ่านความร้อนที่ประมาณ 60 – 80 องศาเซลเซียส เป็นการเตรียมเหล็กเพื่อที่จะจุ่มลงไปในบ่อสังกะสีที่มีความร้อนสูงมาก
การเคลือบสังกะสีแบบชุบร้อน
สังกะสีเหลวมีความร้อนประมาณ 460 องศาเซลเซียส เมื่อเหล็กถูกจุ่มลงในอ่างสังกะสีเหลวภายใต้อัตราที่ถูกควบคุม พื้นผิวของเหล็กจะถูกเคลือบโดยสังกะสีเหลว ซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยากับสังกะสี ส่งผลให้เกิดชั้นของสังกะสีผสม ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาทีในการดำเนินการ และ จะใช้เวลานานขึ้นสำหรับวัสดุที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเช่นกัน ชั้นสังกะสีผสมนั้นจะแข็งแรงกว่าเนื้อเหล็ก หลังจากมีการชุบวัสดุลงไปในอีกครั้งในภายใต้อัตราที่ถูกควบคุม สังกะสีเหลวจะหลอมรวมกับชั้นสังกะสีด้านนอกอีกหนึ่งชั้น
การลดอุณหภูมิ
หลังจากทำการชุบเคลือบสังกะสี วัสดุเหล็กที่ถูกชุบเคลือบสังกะสีแล้วจะถูกทำให้เย็นลงในของเหลวซึ่งสามารถเพิ่มการป้องกันการเกิดสนิมขาวได้ ในขั้นตอนการทำให้เย็นนี้จะถูกปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของการเคลื่อนย้ายวัสดุ วัสดุบางอย่างจะถูกทำให้เย็นด้วยการใช้ลมเป่าตามความต้องการของลูกค้า
การตกแต่งสำเร็จ
ทำความสะอาดส่วนเกินของวัสดุหรือรอยหยดที่ตกค้างออกจากชิ้นงาน
ความหนาของการเคลือบ
ปริมาณของสังกะสีในการเคลือบหรือความหนาของการเคลือบนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณและความหนาของเหล็กที่ถูกนำมาชุบเคลือบสังกะสี
ปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อความหนาของการเคลือบมีดังต่อไปนี้:
ลักษณะของพื้นผิวของวัสดุที่นำมาเคลือบ
กระบวนการเป่าทำความสะอาดพื้นผิวหน้าของเหล็กก่อนทำการชุบเคลือบสังกะสีแบบชุบร้อน ช่วยเพิ่มพื้นสัมผัสผิวหน้าวัสดุซึ่งมีผลทำให้ได้ชั้นผสมของเหล็กและอัลลอยด์หนาขึ้น แต่ก็ทำให้พื้นผิววัสดุหลังการเคลือบมีผิวสัมผัสที่หยาบขึ้นเช่นกัน
องค์ประกอบของเหล็ก
ซิลิกอนและฟอสฟอรัสจะมีผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้าง ลักษณะพื้นผิว และคุณสมบัติของการชุบเคลือบสังกะสี
ซิลิกอน
ระดับที่แน่นอนของซิลิกอนจะส่งผลต่อความหนาของสังกะสีที่เคลือบเป็นอย่างมาก เหล็กที่มีส่วนผสมของซิลิกอนในระดับน้อยกว่า 0.05 เปอร์เซ็นต์ จะส่งผลให้เกิดการปฎิกิริยาให้ชั้นสังกะสีบางมาก เหล็กที่มีส่วนผสมของซิลิกอนในระดับ 0.05-0.15เปอร์เซ็นต์ จะส่งผลให้เกิดการปฎิกิริยาสังกะสีผสมกับเหล็กให้เห็นชัดบนพื้นผิว โดยมีลักษณะเป็นรอยหมองสีเทาเกิดขึ้น ความหนาของการเคลือบจะหนามาก สำหรับเหล็กที่ผสมซิลิกอนระหว่าง 0.15 – 0.25 เปอร์เซ็นต์ จัดว่าเป็นส่วนผสมที่เหมาะสมสำหรับการชุบ และจะหนาขึ้นอีกหากมีปริมาณซิลิกอนมากกว่า 0.25 เปอร์เซ็นต์ในเนื้อเหล็ก
ฟอสฟอรัส
ปริมาณสัดส่วนที่มีฟอสฟอรัสมากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้สังกะสีเคลือบได้หนาขึ้น และเมื่อผสมกับซิลิกอน ปริมาณความหนาของการเคลือบของสังกะสีจะมากขึ้น